แต่ฉันก็ทำไม่ได้...
ฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เราที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตง
หลังจากนั้นครอบครัวเล็ก ๆ ของเราจึงอพยพมาที่รัฐโตรอนโต ประเทศแคนาดา ในช่วงทศวรรษที่ 80 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ชีวิตของพ่อแม่ลำบาก แม้กระทั่งตอนนี้พวกเขามักพูดถึงการต่อสู้ดิ้นรนกับการอาศัยอยู่ในประเทศต่างเชื้อชาติและต่างภาษา ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาคือ การอยู่ให้รอด พวกเขาจำใจทำงานที่พวกเขาไม่ชอบ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และพวกเขาทำเพื่อให้ฉันได้มีโอกาสอย่างที่พวกเขาไม่เคยมี
“ความกลัวฆ่าความฝันของคนเรา ได้มากยิ่งว่าความล้มเหลว” — บุคคลนิรนาม
และนี่เป็นผลทำให้ฉันได้รับความกดดันจากพวกเขา พวกเขาพาฉันเข้าโรงเรียนรัฐบาลที่ดีที่สุดในโตรอนโต และส่งฉันไปเรียนคณิตศาสตร์และเปียโนส่วนตัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้บังคับให้ฉันเป็นหมอหรือทนายความ (เพราะอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่มั่นคง ใครที่เป็นหมอหรือทนายความก็หางานได้อยู่เเล้ว) พ่อแม่ชอบพูดคุยถึงข้อดีของการอยู่ในวงการแพทย์ได้ยินอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งตอนนี้ถ้าหากพวกเขารู้จักใครที่เข้าโรงเรียนแพทย์ได้ พวกเขาก็จะแสดงความคิดเห็นและประเมินความเก่งและฉลาดของคนๆนั้น
ความกลัวไม่ได้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น มันเพียงช่วยให้ความชัดเจนกระจ่างขึ้นเท่านั้น งานใหม่ดูมั่นคงและฉันเองก็รู้สึกสบายใจ แต่แล้วความกลัวชนะฉันอีกครั้ง
เมื่อมองย้อนกลับไป การเป็นพ่อแม่นั้นไม่ง่าย ฉันเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่นะ ฉันเข้าใจว่าความกลัวนำความคิดของพวกเขาอย่างไร การที่พวกเขากลัวว่าฉันจะพลาดชีวิตเหมือนที่พวกเขาเคยพลาดและความกลัวว่าถ้าฉันไม่มีอาชีพที่ดีและมั่นคง ฉันจะต้องดิ้นรนทางการเงินอยู่ตลอดเวลา
ความกลัวว่าฉันจะต้องอยู่ข้างหลังคนอื่น ๆ ความกลัวนั้นส่งผลทำให้การกระทำของพวกเขามีผลโดยตรงต่อฉัน
ครอบครัวของฉัน ต้องถูกคนอื่นตราหน้าอย่างไม่มีเหตุผลในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ และคนที่ฉันรู้จักนั้นได้ทำอะไรลงไปแล้ว พวกเขาพลาด เช่น ติดหนี้สิน ถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง หรือ ถูกคนอื่นตราหน้าว่าล้มเหลว นั่นก้ทำให้ฉันเองไม่อยากจะเสี่ยงกับอะไร ๆ เพราะถ้าหากฉันผิดพลาด ก็จะไม่มีใครยอมรับฉัน มันน่าอายนะ ถ้าพลาดขึ้นมาจริงๆ มันก็มีผลต่อทุกคนรอบตัว ก็นั่นล่ะ ตราบใดที่ฉันไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวด้วย มันก็ไม่พังหรอก นี่คือทางสู่การเป็นคนที่น่าเบื่อสินะ
ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันอยากเป็นศิลปินนะ อาจจะไม่ค่อยมีความมั่นใจมากเท่าไร แต่โปรเจกต์ผลงานศิลปะของฉันเป็นที่รู้จักทั้งโรงเรียนเลยนะ ตอนที่ฉันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อครูบอกว่างานสถาปัตยกรรมของฉันดูไม่ค่อยสมจริง ผลงานที่ออกแบบน่าจะสร้างไม่ได้ พอฉันได้ยินแบบนั้น มันทำให้ฉันเสียศูนย์ไปเลยล่ะ
หลังจากนั้นฉันก็ไม่แตะงานศิลปะอีกเลย แล้วฉันเปลี่ยนไปเรียนวิทยาศาสตร์ และไม่ได้วาดภาพอีกเเล้วไปอีกหลายสิบปี
งานศิลปะจะยังคงมีความสำคัญต่อฉัน แต่มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของฉันดีขึ้นเท่าไร และฉันเองก็ไม่อยากเป็น “ศิลปินไส้แห้ง” เพราะโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อย และฉันไม่ได้ฝึกฝีมือในงานศิลปะเเล้ว ฉันแค่ไม่อยากล้มเหลวในสิ่งที่ฉันรักมาก
ฉันไม่เคยได้เป็นหมอจริงๆหรอกนะ ฉันไม่ได้สนใจอะไรที่เกี่ยวกับทางการแพทย์เลย แต่ว่าฉันกลายเป็นนักวาดภาพประกอบทางการแพทย์แทน ฉันใช้เวลาเกี่ยวกับศิลปะให้น้อยลง และฉันโฟกัสที่จะจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ให้คุ้มค่าที่สุด
นั้นก็ช่วยคลายความกังวลใจของพ่อแม่ ว่าฉันจะกลายเป็นศิลปินไส้แห้ง แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็มีความรู้สึกที่ไม่มั่นคงอยู่ดี
หลังจากผ่านไปเกือบสิบปี ฉันก็เลิกทำงานเต็มเวลาในฐานะนักวาดภาพประกอบทางการแพทย์ ฉันคิดว่าอาชีพการงานนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร และฉันอยู่ในตำแหน่งนั้นมานานเกินไป แทบจะไม่ได้เติบโตในหน้าที่ทางการงานเลย ฉันกลัวว่าจะต้องทำสิ่งอื่นอีก ฉันเลือกงานที่คุ้ยเคยที่ทำได้อยู่เท่านั้น
มันก็ตลกดีนะ ความกลัวไม่ได้ช่วยให้คุณตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้น ความกลัวมันบดบังความจริงในชีวิตคุณ เเละงานใหม่ดูมั่นคง เเม้ว่าฉันจึงปลอดภัยก็เถอะ ความกลัวก็ชนะอีกครั้ง
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี ฉันก็ถือโอกาสบอกเจ้านายว่าฉันต้องการลาออก เว้นแต่เขาจะอนุญาตให้ฉันทำงานแบบพาร์ทไทม์แทน และจะทำเฉพาะงานที่ฉันสนใจเท่านั้น มากกว่านั้นฉันยังขอทำงานจากที่บ้านด้วย เดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น? เจ้านายยอมทุกเงื่อนไขที่ฉันร้องขอไป
ฉันไม่สามารถพูดได้ว่า สถานะทางการเงินของฉันนั้นดี หรือความกลัวที่จะล้มเหลวนั้นได้หายไปแล้ว ฉันกลับมีความสุขมากขึ้น ฉันเริ่มคิดถึงการมีเป้าหมายและความฝัน และการก้าวไปในสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ตอนนี้ฉันกำลังเริ่มก้าวเข้าสู่ความเสี่ยง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า “การกลัวความล้มเหลว” จะจบลงได้ง่าย ๆ มันต้องฝึกฝนและใช้เวลา
ฉันไม่ได้คิดว่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นศิลปิน "ตัวจริง" และฉันก็ไม่ได้อินอะไรกับมันเหมือนแต่ก่อน ในที่สุดฉันตระหนักได้แล้วว่าฉันอยากเป็นศิลปิน แต่ฉันห่างไกลจากการสร้างงานศิลปะและทำตามเสียงหัวใจตัวเองมานานแล้ว
การยอมรับความล้มเหลวนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการนี้ เพราะตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ฉันไม่สามารถยอมรับผลงานที่ไม่เป็นที่ยอมรับได้ ฉันจึงไม่สามารถยอมรับความเป็นศิลปินในตัวเองได้ด้วย มันก็เปรียบเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน สุดท้ายเเล้วครูของฉันได้ทำเขียนคะแนนไว้ที่ 9 เต็ม10 ไว้ที่ด้านล่างซ้ายของภาพวาดงานสถาปัตยกรรม
ตอนนี้เหมือนกับว่าฉันกำลังเดินอยู่ในทะเลทราย เหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างไกลๆ มันอาจจะเป็นปลายทางที่ฉันคิดไว้หรือแค่ภาพลวงตา แต่ถ้าไม่ขยับเข้าไปใกล้ๆ ฉันจะไม่มีทางรู้เลย
หากคุณกลัวที่จะทำให้คนอื่นหรือตัวเองผิดหวัง และหากคุณกลัวความล้มเหลว คุณก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้อยู่คนเดียวนะ ทักมาหาเราได้นะ
คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง คุยกับเพื่อนที่ปรึกษาได้ ทุกอย่างที่คุยกับเรานั้นเป็นความลับ
เมื่อพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น โปรดอ่าน!
กรุณาใส่ข้อมูลในช่องด้านล่างเพื่อเราจะติดต่อคุณได้