มันเป็นมากกว่าโรคร้าย
ในช่วงเวลานั้นมีข่าวรายงานเกี่ยวกับเรื่องแพร่ระบาดโรคโควิด 19 อีกทั้งคนพูดถึงหมู่บ้านและชุมชนในบางพื้นที่เริ่มมีคนติดโรคนี้มากขึ้น แม้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในพื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะเล็ก ๆ แต่เมื่อมีคนพูดถึงความลำบาก ความทุกข์ใจ จากผลกระทบของการปิดตัวสถานประกอบการหลายที่ มันยิ่งทำให้สถานการณ์เครียดและกดดันมากขึ้น
เย็นวันนั้นรุ่นน้องคนหนึ่งได้แวะเอาเค้กมาให้ที่บ้านทุกอย่างดูปกติ สองวันต่อมารุ่นน้องคนนั้นแจ้งมาบอกว่าน้องติดเชื้อโควิด มันทำให้ฉันรู้สึกกังวลอย่างมาก ฉันจึงรีบในคนในครอบครัวและเพื่อนที่อาจจะเสี่ยงต่อการติดโรคนั้นรีบตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง ผลที่ออกมานั้นคือ ไม่มีใครติดเชื้อ
“แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก” ต่อมาช่วงบ่ายๆ ของวันเสาร์ ฉันเริ่มไอแห้งๆ เรื่อยๆ ฉันสังเกตตัวเองมาตลอด ปกติแล้วฉันไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นฉันคิดว่ามันคงเป็นอาการไอทั่วไป
ช่วงค่ำฉันยังมีอาการไออยู่เรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ฉันมีไข้ อุณหภูมิร่างกายประมาณ 38 ถึง 39 องศาเซลเซียส และ ออกซิเจนในร่างกายของฉันต่ำลดลงประมาณ 92-95% เพราะโดยปกติระดับออกซิเจนในเลือดจะอยู่ที่ประมาณ 95-100% ฉันคิดว่ามันผิดปกติแน่ๆ ฉันตัดสินใจแยกกักตัวเองไม่ออกจากห้องกับสามี
ในวันรุ่งขึ้นของวันอาทิตย์ ฉันไปตรวจหาเชื้อโควิดอีกครั้งที่โรงพยาบาล สิ่งไม่คาดคิดนั้นเกิดขึ้น ในวันจันทร์ ผลออกมาว่า “ฉันติดเชื้อโควิด” แต่สามีไม่ติดเชื้อ ถึงแม้ว่าเขาเองอยู่คอยดูแลฉันจนกว่าฉันจะได้เตียงคนไข้สำหรับคนติดเชื้อโควิด
ในช่วงวิกฤตที่มีคนต้องการเตียงทุกวันแบบนี้ ฉันจำเป็นกักตัวที่บ้านอยู่หลายวัน เพื่อรอเตียงว่าง มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาก ฉันทำได้แต่กินยาพารา ไม่มียาต้านเชื้อไวรัสจากโรงพยาบาล และฉันเป็นห่วงและกังวลว่าคนในบ้านจะติดไปด้วย เพราะคุณพ่อและคุณแม่อายุมากและมีความเสี่ยงต่อความร้ายกาจของโรคนี้
สิ่งที่ทำได้คือ การให้พ่อแม่ไปอยู่ที่คอนโดมิเนียมแยกออกไปเพราะลดความเสี่ยงติดโรค หลังจากนั้น สามีเริ่มมีอาการไอหนักขึ้น และตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด แต่ว่าสามีได้เตียงของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเพราะมีประกันสุขภาพ ในขณะเพื่อน ๆ พยายามช่วยหาเตียง เพื่อฉันจะได้อยู่ในการดูแลของแพทย์ได้ ฉันยังคงรอเตียงต่อไปอย่างอดทน
ความรู้สึกผิด กังวลใจ เริ่มถาโถมเข้ามา ฉันเริ่มกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันไปกระทบกับคนในครอบครัว คนที่ทำงาน เพื่อนฝูง
ความรู้สึกผิด กังวลใจ เริ่มถาโถมเข้ามา ฉันเริ่มกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันไปกระทบกับคนในครอบครัว คนที่ทำงาน เพื่อนฝูง เพราะฉันที่ทำให้สำนักงานต้องปิดและทุกคนในที่ทำงานต้องกักตัวเป็นเวลามากกว่า 14 วัน พวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายไปตรวจหาเชื้อ หลายคนต้องหยุดงานมากกว่านั้นคือเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาเริ่มกังวลและแสดงออกถึงอาการรังเกียจต่อฉันและสมาชิกคนอื่นในครอบครัวอย่างชัดเจน มันทำให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นไปอีก
ฉันนอนรอเตียงว่างอยู่ที่บ้านหลายวัน ไม่มียาต้านโรค มีแต่ยาพาราเซตามอลเท่านั้น โทรศัพท์ดังขึ้นเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเตียงว่างแล้ว ฉันเตรียมเก็บของรอที่รถฉุกเฉินมารับ ทางโรงพยาบาลจัดห้องไว้ให้แล้ว ฉันต้องเข้าพักกับคนอื่นๆ อีก 5 คนในห้อง มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องอยู่กับคนอื่นในห้องเดียวกัน
กิจวัตรประวันที่โรงพยาบาล คือ การวัดความดันและค่าออกซิเจน นี่คือการบังคับให้ตัวเองตื่น ทุกๆ 2 ชั่วโมง ฉันต้องนอนอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก ได้แค่อยู่บนเตียง กิน และ เข้าห้องน้ำ วนๆ ไปแบบนี้ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เดินออกไปข้างนอก แม้กระทั่งตอนนอนทุกคนยังต้องใส่หน้ากาก ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างถูกจำกัดอย่างมากเสมือนอยู่ในคุก
ต่อมาอาการรับรู้รสชาติเริ่มหายไป ลิ้นไม่รับรู้รสอะไรได้เลย กินได้น้อยมาก กินอะไรก็ขมคอ ฉันต้องพยายามบีบบังคับตัวเองป้อนอาหารเข้าปากตัวเองและกลืน
ต่อมาอาการรับรู้รสชาติเริ่มหายไป ลิ้นไม่รับรู้รสอะไรได้เลย กินได้น้อยมาก กินอะไรก็ขมคอ ฉันต้องพยายามบีบบังคับตัวเองป้อนอาหารเข้าปากตัวเองและกลืนนอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว ฉันจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวของคนอื่น เพราะเพื่อนร่วมห้องคุยโทรศัพท์กับทางบ้าน บางคนกำลังเครียดที่เพื่อนบ้านพยายามกดดันให้ลูกของเขาออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่นทั้งๆ ที่ลูกของเขาไม่ได้ติดโรคโควิด บางคนได้รับความกดดันจากที่ทำงานเพราะติดโควิดทำให้ไม่สามารถทำงานได้ บางคนติดโควิดเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกในการทำมาหากินมากนัก มันทำให้เขาต้องติดโรคเพราะไปขายของที่ตลาดนัด
ส่วนฉัน ฉันยังอยู่ที่โรงพยาบาล แค่ 3 วัน ฉันเริ่มถามตัวเองว่าเมื่อไรจะได้กลับบ้าน อีกนานไหม อีกกี่วัน และฉันก็ถามหมอด้วยเช่นกัน คำตอบที่ได้คือ ฉันจะได้กลับบ้านเมื่อไม่มีเชื้อ ในทุกๆวัน ฉันยังต้องกินยาเยอะมาก 20-30 เม็ดต่อวัน เมื่อมีอาการหอบ ต้องฉีดยาพ่นเอง กิจกรรมซ้ำๆ แบบนี้ เป็นเวลา 14 วัน
มันเป็นช่วงที่จิตใจอ่อนแอมากถึงที่สุด บางคืนฉันนอนร้องไห้ตลอดทั้งคืน ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ โรคโควิด มันเป็นโรคที่ทำให้จิตใจอ่อนแอ ทำให้ต้องตัวแยกออกจากครอบครัวและคนที่รัก ในเวลาที่ฉันอยากอยู่ใกล้คนที่รักเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นแต่ฉันทำไม่ได้...
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ ทางร่างกาย หรือ การป่วยไข้ เท่านั้น แต่สิ่งที่มันทำร้ายคนเรามากที่สุดคือ “จิตใจ” คนที่ป่วยโรคโควิดก็ต้องการรักษาทางจิตใจ พอๆ กับร่างกาย
ถ้าคุณกำลังเจอสถานการณ์เดียวกันและกำลังรู้สึกผิด กังวลใจ และ ลำบากใจอยู่ โปรดฝากข้อมูลการติดต่อของคุณไว้ด้านล่าง เพื่อนที่ปรึกษา จะติดต่อคุณกลับไป เพื่อรับฟังและให้การช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อน
คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง คุยกับเพื่อนที่ปรึกษาได้ ทุกอย่างที่คุยกับเรานั้นเป็นความลับ
เมื่อพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น โปรดอ่าน!
กรุณาใส่ข้อมูลในช่องด้านล่างเพื่อเราจะติดต่อคุณได้