มันเร็วเกินไป ไม่ทันได้บอกลา

ทุกเช้านับตั้งเเต่เกิดเรื่อง ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนไม่ได้นอนด้วยซ้ำ แน่นอนนั่นก็เพราะร่างกายขาดการพักผ่อนมาเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวัน อาการปวดตาที่เกิดจากการร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อน ย้อนกลับไปในวันที่ ฉันรู้ว่าแม่มีอาการอ่อนเเรง การขยับร่างกายไม่ปกติ และพูดไม่ชัด นั่นเป็นสัญญาของเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน ด้วยอาการของโรคชนิดที่ร้ายแรงเกินกว่าโรงพยาบาลระดับตำบลจะรักษาได้ทัน มีทางเดียวคือต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัดที่ห่างจาก โรงพยาบาลตำบลกว่า 30 กิโลเมตร กว่าจะได้เริ่มการรักษามันกินเวลาไปมากกว่า 4 ชั่วโมงเเล้ว เเละผลการผ่าตัดไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้

หลังผ่าตัด เส้นเลือดในสมองแตกซ้ำอีกครั้งที่บริเวณที่สำคัญที่สุด คือ ก้านสมองซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการควบคุมระบบทุกอย่างในร่างกาย แพทย์ได้อธิบายกับฉันทางโทรศัพท์ถึงความร้ายแรงของมัน หัวใจของฉันเจ็บปวดรวดร้าวกับทุกคำพูดและคำอธิบาย เมื่อแพทย์บอกว่า แม่ไม่สามารถกลับมาพูดคุย หรือกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเเล้ว ความเป็นไปได้ที่จะพูดสื่อสารได้นั้นเหลือ 0% ไม่ว่าจะทำอย่างไร สิ่งที่พอจะเป็นไปได้เพียงเเค่เจ้าหญิงนิทราแต่แพทย์ยังไม่ได้แน่ใจมากเท่าไรนัก ด้วยอาการโรคเดิมที่เเม่มีอยู่ คือ โรคความดันและโรคโควิด ทำให้การรักษาไม่อาจจะทำได้อย่างปกติ ทุกอย่างต้องเฝ้าระวัง ทุกขั้นตอนกลายเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเต็มไปด้วยข้อจำกัด ผ่านไป 3-4 วันแรก แม่ยังไม่รู้สึกตัว และเเม่ยังคงรักษาตัวอยู่เป็นเวลา 1 เดือนแต่อาการของแม่ยังไม่ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้

จนกระทั่งถึงวันนั้น เจ้าหน้าที่พยาบาลและแพทย์ติดต่อมาบอกว่าอาการของคุณแม่ไม่อาจจะยื้อได้นานกว่านี้ ถ้าปั้มหัวใจคุณแม่กลับมา คุณแม่อาจจะทนไม่ไหวเพราะระดับออกซิเจนในเลือดและความดันเริ่มต่ำลงเรื่อยๆ…

ตอนที่ฉันได้ยิน...น้ำตาไหลเต็มหน้าแล้วแต่ยังต้องกลั้นใจและข่มน้ำเสียงไว้ คุยกับแพทย์ต่อไปให้ครบถ้วนเพื่อฉันจะได้อธิบายให้กับ น้องชาย และญาติของคุณแม่ได้

ผ่านไป 2 ชั่วโมง พยาบาลที่ดูแลคุณแม่มาตลอดโทรมาหาฉัน กล่าวว่า“คุณแม่นอนหลับจากไปอย่างสงบแล้วนะคะ คุณแม่นั้นเหมือนหลับไปแล้วหัวใจเต้นช้าลงๆและลมหายใจค่อยๆเบาลงค่ะ” เจ้าหน้าที่พยาบาลได้พูดต่อว่าด้วยเสียงที่สั่นและเศร้า “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” ฉันตอบกลับไปว่า “ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณแม่มาตลอดนะคะ” ตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่พูดได้ยากจริงๆ

ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ฉันได้แต่หวังว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน ฉันอยากจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ “เรื่องจริง” แต่พออยู่นิ่งๆและคิด ฉันบอกกับตัวเองว่า… “มันคือเรื่องจริง” ความคิดของฉันมันเหมือนวนเวียนอยู่เเค่เรื่องนี้ เรื่องที่ไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนอะไรได้

ช่วง 2-3 วันแรกฉันได้แต่ร้องไห้และซึมอยู่เเบบนั้นซ้ำๆ ฉันรู้สึกราวกับว่า เเรงบันดาลใจที่ตื่นขึ้นมาและความสุขนั้นได้ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและความปวดใจ เหมือนความสุขและความหวังถูกฉกฉวยไปจากฉัน และความเศร้าใจทวีมามากขึ้นเมื่อฉันต้องกลับบ้านไปเก็บของที่บ้าน ความคิดของฉันได้แต่เฝ้าคิดคำนึงว่า ถ้าเรื่องนี้มันไม่เกิดขึ้น เราจะคุยอะไรกับแม่บ้าง แม่คงเตรียมกับข้าว ต้มจืดฟักปลาหมึกแห้งใส่หมูสามชั้น ซึ่งอาหารที่เราชอบ เเละคงมีเสียงเเม่พร่ำพูดเรื่องต่างๆให้ฟัง เเละเสียงหัวเราะของเเม่ เเต่ครั้งนี้มันเป็นอีกแบบหนึ่ง ฉันเก็บของเเม่ ค่อยๆพับเสื้อผ้าทีล่ะชิ้นๆ ลงไปในกล่อง และเปิดดูตู้เย็นและตู้กับข้าวว่าเเม่เตรียมของอะไรไว้บ้าง ข้อความต่างๆ ที่เเม่ชอบเขียนไว้บนปฎิทิน ฉันพยายามตามรอยความคิดของเเม่จากสิ่งต่างๆในบ้าน เเละรื้อดูภาพต่างๆ ที่อยู่ในอัลบั้ม ในอัลบั้มมีภาพอยู่ชุดนึงที่แม่เป็นคนถ่าย ฉันได้เห็นมุมมอง สายตาของเเม่ที่มองมาที่ฉันผ่านกล้องฟิล์ม

ภาพพวกนั้นคือฉันเองในวัย 2-3 ขวบ ใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงินอยู่กับเครื่องเล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรงเรียนอนุบาล ฉันอยากจะถามแม่ว่า ทำไมตอนนั้นต้องกดถ่ายรูปซ้ำๆ เยอะขนาดนั้นตั้ง 12 รูป บางรูปเบลอ บางรูปโฟกัสที่ฉากหลัง ทำไมไม่รอให้เลนส์โฟกัสก่อนแล้วค่อยกดชัตเตอร์ เเต่ว่าคำถามพวกนั้นกลายเป็นคำถามที่อยู่ได้แค่ในใจ

ในทุกๆ วัน ฉันคิดถึงสิ่งที่เราเคยคุยกันไว้ว่า หลังจากที่ฉันทำงานเสร็จแล้วเเม่จะย้ายมาอยู่ด้วยกัน แม่จะทำกับข้าวรอ และรสชาติอาหารของแม่นั้นเป็นอาหารที่ฉันชอบมากที่สุด ทุกสุดสัปดาห์ฉันและแม่เราจะไปปิกนิกที่ทะเลกัน คิดถึงเรื่องที่เราจะพูดคุยกันด้วยความคิดและมุมมองที่แตกต่างกัน มันเป็นเพียงแค่ความคิดปนผสมในความคิดถึงที่มีต่อแม่ บางครั้งฉันนึกว่าเเม่โทรหาฉันในเวลาที่เเม่ชอบโทรหาเป็นประจำ...

มันเหนื่อยและเหนื่อยจริงๆ ทุกวันทุกคืนที่เหนื่อยกับการร้องไห้จนหลับไปเอง มันไม่ได้เป็นเรื่องที่จะพูดหรืออธิบายออกมาได้ง่ายๆ เลย มันคือช่วงที่เปราะบางที่สุด เพื่อนๆ หลายคนถามถึงและเป็นห่วง เวลาใครถามเรื่องนี้ทีไรน้ำตามันก็ไหลออกมาทุกครั้ง ฉันใช้เวลาอยู่สองสามสัปดาห์กว่าจะนิ่งและตั้งสติทำอย่างอื่นต่อไปได้

หลังจากสิ่งต่างๆ ผ่านไปสักพัก บางครั้งฉันรู้สึกเศร้าและอยากร้องไห้ขึ้นมา เมื่อมีเพื่อนๆ และน้องชายอยู่ข้างๆ ฉันค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองเริ่มดีขึ้น สภาวะความซึมเศร้า ความหม่นหมองยังมีอยู่บ้าง แต่ฉันขอแค่มีพวกเขาอยู่กับฉันในช่วงนั้น ช่วงที่ความคิดของฉันที่เปียกฝนแห่งน้ำตาและความเศร้าโศก ฝนที่ตกในใจนั้นมันตกเพียงชั่วครู่นึงเท่านั้น สักพักมันจะเคลื่อนผ่านไป ความเศร้าเสียใจมันค่อยๆ แห้งหายไปอย่างช้าๆ และมันกำลังจางหายไป กลายเป็นท้องฟ้าที่สดใส ฉันอยากบอกว่าไม่มีความเศร้าใดจะอยู่ในชีวิตตลอดไป

แม้ว่าเราจะรู้สึกเหมือนว่ามันอยู่กับเรานานแต่มันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะเจอกับการสูญเสียคนที่รัก คนในครอบครัว อย่างกระทันหัน ไม่ทันตั้งตัว ไม่คาดคิด หรือ คุณกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและมันทำให้คุณเศร้าเสียใจและเจ็บปวด ขอให้รู้ว่าไว้ว่าคุณยังมี “เพื่อนที่ปรึกษา” ที่เข้าใจและรับฟังคุณทุกครั้งที่คุณรู้สึก ขอให้คุณติดต่อมาที่เพื่อนที่ปรึกษาเพราะพวกเขาจะรอรับฟังอยู่เสมอ


คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง คุยกับเพื่อนที่ปรึกษาได้ ทุกอย่างที่คุยกับเรานั้นเป็นความลับ

เมื่อพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น โปรดอ่าน!

กรุณาใส่ข้อมูลในช่องด้านล่างเพื่อเราจะติดต่อคุณได้

ระบุเพศ:
ช่วงอายุ:

การระบุเพศและอายุนั้นช่วยให้ทีมงานจัดหาเพื่อนที่ปรึกษาที่เหมาะสมให้กับคุณได้ ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการ & นโยบายความเป็นส่วนตัว.