หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ในวัยเรียนที่โหดร้าย ถูกทำให้เป็นตัวตลก เพื่อนแอนตี้ทุกเรื่อง ต้องทนทุกข์เป็นปี ๆ กว่าจะเรียนจบออกไป หรืออาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า จนบางรายเลือกที่จะจบชีวิตตนเองเพราะมองไม่เห็นทางออกอื่น การระรานหรือ Bully แบบนี้มีมานานแล้ว แต่เทคโนโลยีทำให้เรื่องนี้เลวร้ายกว่าเดิม อย่างไรล่ะ?

ราชบัณฑิตสภา ให้คำนิยาม Cyber Bully ว่าคือ "การระรานทางไซเบอร์" หมายถึง การกลั่นแกล้ง การให้ร้าย การด่าว่า การข่มเหง หรือการรังแกผู้อื่นทางสื่อสังคมต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์

สมัยก่อน โดนล้อว่า “อ้วนดำ” ก็จบตรงนั้น ในห้องเรียน ในโรงเรียน กับเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ ไม่กี่สิบคน แต่สมัยนี้ มีการใช้ภาพประกอบ ตัดต่อ แต่งภาพ ให้ดูน่าเกลียดหรือดูตลกกว่าเดิม มีการก๊อปปี้ถ้อยคำกลั่นแกล้งเป็นพัน ๆ ครั้ง มีคนมาเขียนคอมเมนต์ซ้ำเติม แล้วแชร์วนไปในโซเชียลมีเดีย เรียกว่าเป็น Cyberbullying เหมือนถูกทำร้ายจากคนเป็นพันเป็นหมื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอาจแพร่กระจายไปได้เป็นล้านคนในเวลาไม่นาน โดยการทำร้ายยังคงอยู่อย่างนั้น เปิดไปเมื่อไรก็เจอ

ปัญหาการระรานในโรงเรียนบ้านเรา ปัจจุบันนี้สูงถึงร้อยละ 40 ติดอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น* โดยเฉพาะ Cyberbullying ซึ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ทำร้ายจิตใจและอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของเหยื่อ ที่แย่คือคนทำสามารถปกปิดตัวตนบนโลกออนไลน์ ทำให้ไม่รู้ว่าจะจัดการแก้ปัญหากับใครได้อย่างไร เนื้อหาที่โดนระราน กลั่นแกล้ง รังแก ไม่ว่าจะเป็น การดูถูกเหยียดหยาม ทำให้กลายเป็นตัวตลก เสียชื่อเสียง คอยจับผิด แฉ ประจาน ทำให้อับอาย จนถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสี จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์ มีคนมาช่วยแชร์ มาเขียนคอมเมนต์ในด้านลบ กลายเป็นวงจรการระรานทางไซเบอร์ที่ทำร้ายเหยื่อไม่สิ้นสุด

สาเหตุของการระรานออนไลน์

Cyberbullying เกิดขึ้นได้ทั้งจากการแกล้งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ล้อกันเล่นขำ ๆ แล้วบานปลายไปด้วยความไม่ตั้งใจ หรืออาจเกิดจากความขัดแย้งกันในโรงเรียน ความเกลียดชัง ทั้งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล อาจแค่ไม่ชอบหน้า หรือความคิดเห็นบางอย่างไม่ตรงกัน แล้วใช้พื้นที่ในโลกออนไลน์โจมตีกัน รูปแบบของ Cyberbullying ที่พบบ่อย ๆ ได้แก่

  1. การข่มขู่คุกคาม หรือให้ร้ายเหยื่อ บางครั้งนำไปสู่การทำร้ายร่างกายกันจริง ๆ

  2. การเปิดโปงข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ โดยการเอาไปโพสต์หรือส่งต่อให้คนอื่นรับรู้ เช่น ภาพหลุด ภาพตลก ๆ เพื่อประจาน ทำให้อับอาย

  3. การคุกคามทางเพศ โดยใช้ถ้อยคำที่ส่อไปในทางเพศ ส่งภาพหรือวิดีโอมาให้แล้วชวนทำกิจกรรมทางเพศ การตัดต่อภาพโป๊เปลือย การลวงให้ส่งรูปไม่เหมาะสมแล้วนำไปโพสต์ประจานหรือแบล็กเมล

  4. การแอบอ้างตัวตน โดยการแอบเข้าบัญชีออนไลน์ของเหยื่อ หรือสร้างบัญชีใหม่โดยใช้ชื่อและ/หรือรูปภาพของเหยื่อ แล้วนำบัญชีไปใช้ในทางไม่เหมาะสม

  5. การสร้างกลุ่มเพื่อโจมตี เช่น เพจแอนตี้ต่าง ๆ เพื่อจับผิด ประจาน พูดคุยตำหนิ ด่าทอ ทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเกลียดชังเหยื่อ

Cyberbullying กับผลกระทบ

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเหยื่อได้รับผลกระทบทางจิตใจ...

และยังเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เจ็บป่วย ทำร้ายตัวเอง และอาจรุนแรงถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย

สำหรับผู้ที่กลั่นแกล้งคนอื่น อาจจะได้รับผลกระทบในภายหลังได้เช่นกัน เช่น เกิดความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำกับผู้อื่น ลงโทษตัวเอง หรืออาจจะเป็นอีกด้านหนึ่งคือ เสพติดความรุนแรงจนกลายเป็นอาชญากรในอนาคต ซึ่งผลกระทบกับเหยื่อและผู้กระทำจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระรานและทักษะในการรับมือกับการระราน รวมทั้งการสนับสนุนด้านกำลังใจและความช่วยเหลือจากคนรอบข้างด้วย

หากเพื่อนหรือบุตรหลานมีอาการเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล เก็บตัว หวาดระแวง ตกใจง่าย ประสิทธิภาพในการทำงานหรือเรียนลดลง หมกมุ่นกับหน้าจอ ข้อความในโทรศัพท์ หรือโซเชียลมีเดีย ใช้ยานอนหลับหรือแอลกอฮอล์ และหากได้ยินผู้อื่นพูดถึงเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งจะมีอาการเครียดมากขึ้น หรือกดดันมากกว่าปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อของ Cyberbullying ที่จะต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว

การรู้จักรับมือกับการบูลลี่

หลายครั้งที่การบูลลี่เกิดขึ้นเพียงเพราะความสนุกหรือความโกรธชั่วคราว หรือเป็นเพียงการตัดสินใจชั่วขณะ แต่ผลที่ตามมาอาจมากมายและส่งผลยาวนานสำหรับผู้ที่ถูกกระทำ ดังนั้น การรู้จักรับมือกับการบูลลี่อาจช่วยหลีกเลี่ยงบาดแผลทั้งทางกาย ใจ และสังคม ดังนี้

•ใช้ความนิ่งสงบ
ผู้ที่ชอบบูลลี่มักมีเจตนาให้เหยื่อตอบโต้ เพื่อสร้างความรุนแรง หรือเพิ่มความสะใจ แต่หากผู้ถูกกระทำเลือกที่จะนิ่งเฉย ผู้กระทำอาจรู้สึกเบื่อและยุติการกระทำในที่สุด
•ตอบโต้อย่างสุภาพ
ใช้คำพูดและการแสดงออกด้วยท่าทีสุภาพว่าไม่ได้รู้สึกสนุกหรือไม่ชอบการกระทำนั้น เช่น ไม่ตะโกน ขึ้นเสียง หรือใช้คำหยาบคาย แต่ควรชี้แจงอย่างชัดเจน หากเรื่องที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นจริง
•พูดคุยกับผู้ร่วมถูกกระทำเพื่อช่วยกันแก้ไข
บางครั้งการถูกบูลลี่ไม่ได้เกิดขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียว การหาผู้ร่วมถูกกระทำจะเป็นการเพิ่มหลักฐานและพยานว่า ผู้กระทำการบูลลี่สร้างเรื่องขึ้นมาทำร้าย นอกจากนี้ผู้ร่วมถูกกระทำอาจเป็นที่ปรึกษาคลายทุกข์ได้เป็นอย่างดี
•ยุติการเผยแพร่ข้อมูล
หากเกิดกรณีไซเบอร์บูลลี่ควรรายงานไปยังผู้บริหารองค์กรสื่อสังคมออนไลน์ต้นทาง เพื่อให้สั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และระงับบัญชีผู้ใช้งาน
•เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
หากการบูลลี่นั้นทำร้ายร่างกายหรือจิตใจจนยากจะยอมรับได้ ผู้ถูกกระทำอาจจะไม่สามารถอยู่ในสังคมเดิมได้ต่อไป การเปลี่ยนที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน อาจช่วยฟื้นฟูภาวะบอบช้ำจากการถูกบูลลี่ได้เร็วขึ้น
•ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
หลายครั้งที่การบูลลี่สร้างบาดแผลทางจิตใจที่รุนแรงจนนำไปสู่ภาวะของโรคซึมเศร้าและบางกรณีจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ดังนั้น ทางออกที่ดีคือการพบผู้เชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธี



เขียนโดย: กรมสุขภาพจิต คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

เครดิตรูปภาพ: Joshua Gandara