หากวันพรุ่งนี้… ลืมตาไม่ได้อีกแล้ว
ในวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 26 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีอาการแบบนี้ ฉันปวดหัวมาก ความเจ็บปวดนั้นลามไปครึ่งหนึ่งของหัว ปวดเบ้าตา ปวดอาการที่คล้ายๆปวดแบบไมเกรน ฉันเองก็รู้สึกงงเพราะไม่เคยเป็นไมเกรนมาก่อน พอฉันลืมตา เเสงที่มองเห็นคือแสงที่ดูพร่ามัว ฉันกินยาลดอาการปวดแต่ฉันก็อาเจียนแล้วอาเจียนอีก จนเพื่อนๆ พาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ระหว่างทางฉันพยายามหลับตาไว้ เพราะทุกครั้งที่ลืมตาฉันจะมีอาการปวดตาอีกด้วยความเจ็บปวด
แพทย์พาเข้าเครื่อง CT Scan ทันทีเพื่อตรวจหาความผิดปกติ หลังจากนั้น เพื่อนๆ ของฉันติดต่อพ่อแม่ ตอนนั้นฉันรู้สึกกลัวแม้ว่าฉันมีคนที่ไม่รู้จักอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนแต่ความกลัวยังอยู่ พอฉันได้ยินเสียงพ่อเเม่และพอฉันเริ่มลืมตาได้แต่พอหันไปหาพ่อแม่ ฉันเห็นแค่เงาลางๆ เท่านั้น
ความกลัวที่อยู่ในใจมีมากขึ้นและมากขึ้น แพทย์แจ้งฉันว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นได้ หมอให้กินยาบรรเทาอาการ ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าอีกเดี๋ยวอาการของฉันจะดีขึ้นเอง แต่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ผ่านไป 3 วัน ความพร่ามัวในการมองเห็นของฉันเริ่มดีขึ้น ภาพที่เห็นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น อาการทั้งหมดที่มีมันหายไป เเละไม่มีอาการปวดหัวเแบบไมเกรนอีก หลังจากนั้นฉันไม่ได้คิดถึงอาการของปวดอีกเลย ฉันลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ...
เวลาผ่านไป 7 ปี ฉันอายุ 33 ปี ฉันแต่งงานมีลูกแล้ว 1 คน อาการแบบนั้นกลับมาอีกครั้ง เมื่อฉันถึงโรงพยาบาล แพทย์ให้ฉันเข้าเครื่อง CT Scan เพื่อสังเกตุอาการผิดปกติ และแพทย์บอกว่า คอ บ่า ไหล่ ของฉันมีอาการอักเสบเพราะอุ้มเด็กทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่า “เจ็บ” แต่ครั้งนี้เครื่อง CT Scan พบความผิดปกติในสมองคือถุงน้ำเล็กๆ ในสมอง ฉันตกใจมากๆ “มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
แพทย์ให้สแกนด้วยเครื่อง MRI เครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกายเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการตรวจพบคือ “แผลที่เกิดในสมอง” แผลนั้นเกิดขึ้นในพื้นที่การทำงานที่เป็นส่วนของการมองเห็น แพทย์วินิฉัยว่าผลที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า ฉันเป็นโรคเอ็มเอส (MS)
โรคเอ็มเอส (MS) หรือ Multiple Sclerosis เรียกอีกอย่างว่าโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายปลอกประสาทที่อยู่ล้อมรอบและปกป้องใยประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง เป็นเหตุทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การทรงตัว การควบคุมกล้ามเนื้อ และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก
แพทย์อธิบายว่า โรคเอ็มเอสพบได้น้อยมากของประชากรโลกและยิ่งน้อยมากๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ฉันคือหนึ่งในนั้น
ต่อให้แพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านนี้มากที่สุดในประเทศไทย ณ เวลานั้นการรักษาคือการให้ยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าแพทย์อธิบายว่าสาเหตุของโรคนี้นั้น ไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดการกำเริบของโรคนี้
เมื่อฉันนึกถึงสิ่งที่แพทย์ได้อธิบาย ในหัวของฉันมีแต่ความรู้สึกกลัว กลัวมาก…มาก
จนอธิบายไม่ถูก มันคือความรู้สึกที่ “กลัวจับใจ”. . .
.
.
.
ฉันมองมาที่ลูกและสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ทำให้ฉันเป็นห่วงลูกที่ยังเล็กอยู่มากๆ …
สิ่งที่แพทย์พอจะทำให้ได้คือให้รักษาตามอาการนานเป็นเวลา 1 เดือน และค่าใช้จ่ายยานั้นแพงมาก และฉันตัดสินใจปฎิเสธการรักษาเพราะ ถ้าเทียบแล้วคุณภาพชีวิตที่ต่ำลงจากการกินยากดภูมิเป็นระยะเวลานานๆ มันไม่คุ้มกันเลย จากนั้นอาการของโรคนิ่งไปไม่มีอาการของโรคแสดงออกมา ฉันเองก็พอที่จะกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองแม้ว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
บอกตามตรงนะว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกซึมเศร้า ส่งผลกระทบอย่างมาก ฉันได้ยินมาว่าคนไข้ส่วนหนึ่งที่รู้ว่าตนเองเป็นโรค MS พวกเขาเลือกจบชีวิตตัวเองลงด้วย “การฆ่าตัวตาย”... ฉันไม่ได้เข้มเเข็งพอที่จะไปพบแพทย์ จิตใจไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้
ฉันรู้ว่านี้คือการหนีปัญหา น้ำตาไหล …ใช่ ฉันกลัวและฉันเป็นห่วงลูกๆ
ผ่านไป 3 ปี อาการของโรคปรากฎขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นฉันเพิ่งคลอดลูกได้เพียง 8 เดือน… ฉันตื่นขึ้นมา และพูดไม่ชัด ควบคุมการเปล่งเสียงและลิ้นไม่ค่อยได้ … ไม่เหลือทางเลือกใดๆ เลย
สุดท้ายฉันตัดสินใจไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษา ด้วยสภาวะของโรคทำให้ฉันต้องรับสเตียรอยด์ 1 กรัม เป็นระยะเวลา 3 วัน นั้นแปลว่ายาที่ได้รับเท่ากับยา 200 เม็ด เป็นปริมาณยาที่มากสำหรับคนทั่วไป ด้วยการที่ฉันรับยาเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิด “หนอกคอ” หรือ Buffalo Hump Disease อย่างเห็นได้ชัด นี่ล่ะคือผลกระทบที่เกิดขึ้นที่คนอื่นมองเห็นและยังมีผลกระทบทางจิตใจอื่นๆ อีก…
และแพทย์ตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยเครื่อง MRI เพื่อตรวจสอบอาการของโรค แพทย์พบว่ารอยแผลเก่านั้นได้หยุดอักเสบเเล้ว แต่ก็เกิดรอยแผลใหม่ที่เกิดขึ้นในสมอง… แม้ว่าแพทย์ไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาแค่ย้ำว่า ถ้าอาการของโรคเกิดขึ้นอีกให้รีบมาที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม ต้องเจอแพทย์ภายใน 10 วัน
โรคนี้ไม่ได้หายไปไหนนะ… ฉันยังอยู่กับมัน ใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ ด้วยหัวใจที่มีความเชื่อ ความรัก ความหวังใจที่มีอยู่ในตอนนี้
ฉันอยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เป็นโรค MS อยู่ หรือโรคอื่นๆ ฉันอยากจะบอกว่า ชีวิตยังคงต้องเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความหวัง แม้ว่าวันนี้ไม่มีใครหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชีวิตของเราได้ แต่ฉันอยากให้มีความหวังต่อไปและ ขอให้คุณมีจิตใจที่ดีเพราะ จิตใจที่เป็นสุขนั้นเป็นยาอย่างดีของชีวิต
.
.
.
ถ้าวันนี้คุณกำลังเจอกับอะไร คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ที่นี่เพื่อนที่ปรึกษาจะอยู่ที่นี่เพื่อรับฟังคุณ ทุกๆเรื่องๆ
คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง คุยกับเพื่อนที่ปรึกษาได้ ทุกอย่างที่คุยกับเรานั้นเป็นความลับ
เมื่อพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น โปรดอ่าน!
กรุณาใส่ข้อมูลในช่องด้านล่างเพื่อเราจะติดต่อคุณได้